วิว ธนพร ภคนันท์วณิชย์ จากคนที่ทำอาหารไม่เป็น และเป็นพนักงานประจำมาตลอด สู่การเริ่มต้นธุรกิจที่มีลูกค้ามากกว่า 200,000 คน ในเวลาเพียง 2 ปี!

เรื่องราวที่จะถ่ายทอดต่อไปนี้เกิดจากชีวิตจริงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ ธนพร ภคนันท์วณิชย์ หรือ คุณวิว อดีตพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ผู้ที่วิกฤติจากโควิด19 ทำให้ชีวิตเกิดจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ แต่ไม่ว่าจะเจอปัญหาถาโถมมากมายขนาดไหน ก็พร้อมที่จะพลิกให้เป็นโอกาสอยู่เสมอ จนเกิดเป็นร้านขนมและเครื่องดื่มสไตล์เกาหลีและญี่ปุ่น ที่ไม่ว่าจะไปที่ห้างสรรพสินค้าไหนก็เจอ ในนาม “ฮาคูน่า มาทาช่า”

คำถาม : ที่มาที่ไปของ ฮาคูน่า มาทาช่า คืออะไร?

   “ย้อนกลับไป พฤษภาคม ปี 2020 วิกฤติโควิด-19 ทำให้งานประจำที่วิวทำอยู่ได้รับผลกระทบโดยตรง วิวจึงเริ่มมองหาช่องทางสร้างรายได้ให้กับตนเองเพิ่มเติม ด้วยการหาขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งในขณะนั้นรัฐบาลประกาศมาตรการ Lock Down และมีเคอร์ฟิว ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวออกต่างจังหวัด ต่างประเทศ หรือแม้แต่การออกจากบ้านก็เป็นเรื่องที่ยากลำบาก วิวจึงตัดสินใจเลือกขายอาหาร เพราะมองว่าเป็นสิ่งที่คนยังจำเป็นในการใช้ชีวิตอยู่ ตอนนั้นก็เลือกศึกษาทางออนไลน์กับอ่านหนังสือ ลองผิดลองถูกอยู่นาน ทิ้งไปก็เยอะ เพราะอยากให้ของที่ทำดีที่สุด จนสุดท้ายก็ได้ที่ถูกใจเรา ถูกปากคนชิมมา เลยลองขายอยู่ 2 อย่างคือ นมผลไม้สด และโยเกิร์ตผลไม้สด ซึ่งวิวทำเองทุกขั้นตอนตั้งแต่ซื้อวัตถุดิบ ผลิต รับออเดอร์ แพค รวมไปถึงจัดส่งด้วย แรกๆ ก็เริ่มขายคนรู้จัก เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กก่อน ทีนี้เขาก็เริ่มสั่งซ้ำกัน สั่งไปฝากคนอื่น เริ่มมียอดสั่งซื้อซ้ำมากขึ้นเรื่อยๆ

   ในตอนนั้นวิวเองก็คาดหวังให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ว่าตรงกันข้ามเลย สถานการณ์กลับแย่ลงกว่าเดิมอีก เลยตัดสินใจลาออกจากงาน ใช้เงินที่ได้จากการลาออกมาทำธุรกิจของตนเอง ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า ลุยเลยไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ต้องทำให้ได้ ก็เลยมาได้พื้นที่เช่าในซอยสีลม 10 เปิดเป็นร้านชานมไข่มุกก่อน เพราะตัวเองเคยมีความรู้การทำชานมไข่มุกมานิดหน่อยจากการซื้อเฟรนไชส์ ตั้งใช้ชื่อว่า HAKUNA MATACHA (ฮาคูน่า มาทาช่า) ซึ่งมีที่มาจากคำว่า “HAKUNA MATATA” จากการ์ตูน Lion King ที่มีความหมายว่า NO WORRY หรือ “อย่าเป็นกังวล” มันเป็นการ์ตูนในความทรงจำดูครั้งแรกตั้งแต่ยังเป็นม้วนวิดีโออยู่เลย อีกอย่างคือเพราะอยากให้คนมาทานของที่ร้านแล้วรู้สึกมีความสุข รวมถึงจริงๆมันคือคติในการใช้ชีวิตของเราเองด้วย คือวิวอยากให้โลกของเรามันมีความสุขที่สุด อย่างน้อยคือเริ่มต้นมาจากความคิดเราเองก่อน เพราะวิวว่าการคิดบวกมันทำให้คนมีพลัง ทีนี้เลยนำไปสู่สโลแกนร้านว่า Don’t worry, Eat me, Drink me, and Be Happy!

คำถาม : จากเป็นพนักงานประจำมาตลอด แล้วอยู่ดีๆ มาทำธุรกิจ มันคนละเรื่องเลย มันมีความท้าทายยากง่ายยังไงบ้างไหม ทราบมาว่าคุณวิวเองก็ไม่ได้เรียนจบด้านนี้มาโดยตรงด้วย?

   “มันยากตรงที่ความรู้เรื่องธุรกิจเราเป็นศูนย์เลย เราไม่เคยทำจริงจังมาก่อน ที่บ้านเราคุณแม่คุณพ่อก็เป็นข้าราชการทั้งคู่ ตัวเราเองก็มีงบจำกัด ตอนนั้นอยากรู้อะไรก็ใช้บริการกูเกิ้ลกับหนังสือ 100% แล้วก็งกด้วยเพราะอยากประหยัด ทำเองยันเขียนแบบแปลนร้านเลยวาดด้วยดินสอ แล้วส่งให้ช่างดู อีกอย่างคือ ตัวเราไม่เคยต้องมาเป็นเจ้านายคน อันนี้ก็ยากเหมือนกัน ยากที่สุดกว่าทุกๆ เรื่องเลย ซึ่งตรงนี้ก็ใช้วิธี Live and Learn เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะเราเองก็เคยเป็นลูกน้องคนอื่นมาก่อนอะไรที่เราไม่อยากให้เจ้านายทำกับเรา เราก็ไม่ทำกับเขา ในส่วนตัวร้านเอง ตอนเปิดร้านแรกๆ ก็ขายดีตามสไตล์ร้านเปิดใหม่ คนก็จะเห่อ แต่ไม่นานก็เริ่มได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศ ถึงช่วงฤดูฝนพอดี คนมาเดินก็น้อยลง ทำให้ยอดซื้อตกลงเรื่อยๆ บางวันขายได้แค่ 5 แก้วก็มี เลยตัดสินใจนำเมนูที่เคยทำขายออนไลน์มาขาย ปรากฎว่าได้รับผลตอบรับจากลูกค้าดีขึ้น แต่ยอดขายก็ยังไม่มากขึ้นอยู่ดี ก็เริ่มมาคิดแล้วว่าต้องหาทางปรับ มีโจทย์ให้ตัวเองว่า ต้องขายให้ได้ทุกวัน และใช้เงินลงทุนต่ำ จึงได้คำตอบว่า การออกอีเว้นท์ในตอนนั้นน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ซึ่งวิวเองเนี่ยแหละที่เป็นคนไปตั้งร้านเอง ขายเองค่ะ”


คำถาม : แล้วจากร้านชานมไข่มุก กลายมาเป็นร้านขนมและเครื่องดื่มสไตล์เกาหลีและญี่ปุ่นแบบที่เป็นอยู่ได้ยังไง?

   “การออกบูธครั้งแรก ผลปรากฎว่าสินค้าตัวที่เป็น นมกับโยเกิร์ตผลไม้สด ที่เราเอามาขายเสริม ขายดีกว่าสินค้าชานมที่เป็นสินค้าหลัก ตรงนั้นเลยเป็นจุดเปลี่ยนในการคิดคอนเซ็ปต์ใหม่ของแบรนด์ เพราะเรารู้แล้วว่าชานมไข่มุกเราสู้เจ้าใหญ่ๆ ไม่ได้ ทีนี้เลยลองทำสินค้าเพิ่มขึ้นมาอีก 2 เมนู นั่นก็คือ แซนวิชผลไม้ครีมสดสไตล์ญี่ปุ่น และเค้กบ็อกซ์สไตล์เกาหลี ซึ่งคิดค้นและปรับสูตรเองหมดเลย อยากให้คนมาทานที่ร้านแบบมื้อเดียวอิ่มท้อง ลองทำอยู่เกือบ 2 เดือนกว่าจะได้ที่โอเค กลายเป็นมีเมนูหลักอยู่ 4 เมนู ซึ่งในตอนนั้น ก็ยังออกอีเว้นท์อย่างสม่ำเสมอ เริ่มมีลูกค้าติด ตามมาซื้อทุกที่ที่ไปออก สินค้าที่เอาไปขาย ขายหมดก่อนเวลาปิดร้านทุกวัน ต้องเติมของทั้งวัน บางวันขายจนไม่ได้ทานข้าวเลยก็มี จะวิ่งไปเข้าห้องน้ำทีก็กังวล เพราะอยากขายให้ทุกคน แรกๆ วิวต้องทำเองคนเดียวหมดเลย หลังๆ มาต้องให้คุณบอย ที่เป็นพาร์ทเนอร์มาช่วยทำด้วย ซึ่งเขาก็ทำอาหารไม่เป็นมาก่อน ถ้าไม่ได้คุณบอยช่วยก็แย่เหมือนกันเพราะต้องทำของเยอะมากๆ เรารู้สึกแล้วว่าตอนนี้เป้าหมายเราใหญ่ขึ้น เราเลยชวนคุณบอย มาช่วยกันอย่างจริงจัง คุณบอยก็จะช่วยเรื่องแรง กับตัวเลขต่างๆ เพราะวิวไม่ถนัด ส่วนวิวคือเป็นฝ่ายสร้างสรรค์ การตลาด เป็นคนขายด้วย ตอนนั้นก็เหนื่อยมาก ทำขนมตั้งแต่เช้าถึงตีสาม หกโมงเช้าตื่นละขับรถออกไปตั้งร้าน ขายยันเย็นยันค่ำ กลับมาบ้าน ล้างของ ทำขนมใหม่ วนลูปอยู่แบบนั้นหลายเดือน จึงตัดสินใจเปลี่ยนร้านที่สีลม ซอย 10 เป็นครัวกลางผลิตสินค้าบางส่วน แต่บางส่วนเรายังทำเองอยู่ เพราะห่วงเรื่องคุณภาพสินค้าค่ะ”

คำถาม : เท่ากับว่าตอนนั้น ฮาคูน่า มาทาช่า ก็ไม่มีหน้าร้านประจำเลย เน้นขายตามงานอีเว้นท์อย่างเดียว แล้วทำยังไงถึงได้มีสาขาประจำมากมายขนาดนี้ได้?

   “มีช่วงนึงที่วิวไปออกอีเว้นท์อยู่ที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง วิวได้รับข้อเสนอจากศูนย์ฯ ให้เปิด Pop-up store เป็นแบบระยะเวลาสั้นๆ เราเลยรีบรับโอกาสนั้นเลย ดีใจมากตอนนั้น ร้าน Pop-up สาขาแรกก็เลยเกิดขึ้นในศูนย์การค้า โดยสินค้าตั้งต้นในตอนนั้นมีเพียง 4 เมนูเท่านั้น นั่นคือ นมผลไม้สด โยเกิร์ตพร้อมดื่มผลไม้สด แซนวิชผลไม้สดสไตล์ญี่ปุ่น และเค้กบ็อกซ์สไตล์เกาหลี ตอนแรกก็กลัวจะขายไม่ได้ แต่เปิดมาวันแรกของก็หมดเกลี้ยงเลย ต้องเติมของระหว่างวันทุกวัน เริ่มมีลูกค้าขาประจำเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยมั่นใจขึ้นมานิดนึงว่า มันไปต่อได้นะ ในขณะที่วิกฤติโควิดก็ยังไม่ดีขึ้น หลายธุรกิจต้องประคองตัวเองให้อยู่รอด หลายร้านต้องเลือกปิดตัวลง จำได้ว่าช่วงนั้นหดหู่มากเวลาดูข่าว แต่วิวมองว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะเติบโต เพราะพื้นที่เช่าเริ่มว่าง คู่แข่งก็น้อยลง วิวจึงติดต่อศูนย์การค้าบางแห่งไป เพื่อขอทำการเช่าพื้นที่ โดยขอเช่าในรูปแบบสัญญาระยะสั้นก่อน เพราะยังไม่กล้าลงทุนเยอะ และจะได้เป็นการสำรวจตลาดก่อนที่จะทำสัญญาระยะยาว ทำให้ในช่วงต้นปี 2021 ฮาคูน่า มาทาช่า มีสาขาประจำ 2 สาขา ทีนี้ก็เริ่มมีคนติดต่อเรามาเองแล้วเพราะเค้าเห็นเรามาจากที่อื่น เลยเกิดร้าน Pop-up ในศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นอีก 4 จุด รวมเป็น 6 จุด จากครัวกลางที่เปิดเฉพาะช่วง 08.00-17.00 น. ต้องปรับเป็นเปิดตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากทำสินค้าขายไม่ทัน ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2021 ที่สถานการณ์ค่อยๆดีขึ้น ฮาคูน่า มาทาช่า มีทั้งสาขาประจำ, Pop-up store และออกงานอีเว้นท์ รวมกันมากถึง 14 จุดทั่วกรุงเทพฯ จำได้ว่าวันสิ้นปียอดขายเยอะสุดตั้งแต่เริ่มทำร้านมา ดีใจมากแบบที่ไม่คิดว่า จะสามารถขายของได้เยอะขนาดนี้ค่ะ”

คำถาม : เห็นว่าร้านเน้นเปิดในห้างสรรพสินค้าหมดเลย จะมีช่วงที่มีประกาศให้ปิดศูนย์ฯด้วย ฮาคูน่า มาทาช่าทำยังไงถึงรอดมาได้?

   “วันที่มีประกาศให้ปิดศูนย์ฯ เป็นวันครบรอบ 1 ปีของแบรนด์พอดีเลย ตอนนั้นก็ช็อคอยู่เหมือนกัน เพราะเรามีพนักงานเยอะ ค่าใช้จ่ายก็ยังเดินต่อไปเหมือนเดิม แต่ต้องดึงสติให้ไว เพราะช้าวันนึงก็คือต้นทุนทั้งนั้น เลยตัดสินใจขอใช้พื้นที่บ้านพักพนักงานของแต่ละคนในการตั้งตู้แช่ และเปิดรับ Delivery จากลูกค้าตามปกติ ซึ่งเราเสนอจ่ายค่าไฟฟ้าให้พนักงานทั้งเดือน ไม่มีการปลดหรือลดเงินเดือนใครเลย แต่ยอดขายก็ยังไม่เพียงพอต่อรายจ่ายอยู่ดี วิวจึงเปิดให้มีรอบส่งตามโซนต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งขนส่งด้วยรถขนส่งควบคุมอุณหภูมิของเราเอง ส่งตรงถึงหน้าบ้านลูกค้า และเก็บค่าส่งในอัตราที่ถูกมาก ทีนี้ลูกค้าอยากสั่งเยอะขึ้น วิวเลยเพิ่มรอบส่งสินค้าจากปกติ อาทิตย์ละ 3 วัน วันละ 1 รอบ เปลี่ยนเป็น 3 วัน วันละ 2 รอบ โดยจัดส่งแยกเป็น 2 โซนต่อวัน ทำให้ลูกค้าที่ไม่ได้อยู่ใกล้กับร้านสาขาก็ได้มีโอกาสทานสินค้าของเราด้วย นอกจากนี้ก็มีการนำอาหารและเครื่องดื่มไปช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่เดือดร้อนทุกอาทิตย์ ทั้งที่ทำไปแบ่งปันเอง แล้วก็มีคนมาจ้างให้ทำด้วยค่ะ”

คำถาม : ทุกวันนี้ ฮาคูน่า มาทาช่า มีกี่สาขา แล้วให้บริการอะไรบ้าง?

ตอนนี้แบรนด์มีสาขาประจำทั้งหมด 5 สาขา ได้แก่
   1. เซ็นทรัล พลาซ่า พระราม3 (ชั้น 2)
   2. เซ็นทรัล แกรนด์ พระราม9 (ชั้น 6)
   3. ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ (ชั้นB1)
   4. เมกาบางนา (ชั้น 1)
   5. แฟชั่นไอส์แลนด์ (ชั้น B)
แล้วก็มีร้าน Pop-Up อยู่ที่เซ็นทรัลศาลายา ชั้น 1 กับ สยามทาคาชิมายะ (ไอคอนสยาม) ชั้น 1 แล้วก็ยังออกงานอีเว้นท์อยู่เรื่อยๆทั้งตามตึกออฟฟิศ หรือศูนย์การค้าที่เราไม่มีร้านประจำอยู่ ซึ่งลูกค้าสามารถสั่ง Delivery ทั้งตามแอพลิเคชั่นต่างๆไม่ว่าจะเป็น Robinhood, Grab, Lineman, ShopeeFood หรือลูกค้าสามารถสั่งสินค้าผ่าน Line Official ของร้านได้โดยตรงเลยก็ได้ ลูกค้าต่างจังหวัดเองเราก็มีบริการส่งด้วยรถขนส่งควบคุมอุณหภูมิ สั่งวันนี้พรุ่งนี้ถึงบ้านเลย เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาพึ่งเริ่มให้บริการ Catering Service อย่างเต็มรูปแบบ คือรับทำเซ็ทจัดเบรคตามงานสัมมนา งานประชุมต่างๆ รับทำ snack box ในงานพิธีการต่างๆ รวมไปถึงรับทำ food support ให้กับงานอีเว้นท์ตลอดจนวาง give away ให้กับศิลปินต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยมีแพคเกจให้ลูกค้าเลือกหรือจัดทำตามงบประมาณของลูกค้าได้ด้วยค่ะ”

คำถาม : เมนูที่ขายดีที่สุดในร้านคือ เมนูอะไร คิดว่าสินค้าตัวเองมีจุดเด่นยังไง ถึงทำให้คนอยากมาทานกัน?

   “เมนูที่แนะนำ คือ แซนวิชผลไม้ครีมสด ตอนนี้น่าจะมียอดขายทะลุ 300,000 กว่าชิ้นแล้ว ตัวเค้กบ็อกซ์ก็เหมือนกัน อันนั้นก็ขายไปเกือบ 80,000 กล่องแล้ว แต่ที่ร้านยังมีเมนูที่ให้บริการอีก 17 เมนู ซึ่งทุกเมนูจะมีผลไม้นำเข้า ซึ่งเราใช้ผลไม้สด เป็นส่วนผสมทั้งหมด เมื่อ 2 เดือนก่อนพึ่งเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ล่าสุด คือ ไดฟูกุแลบลิ้น หรือ Monster Daifuku เมนูนี้หน้าตาน่ารักต่างจากไดฟูกุทั่วไป ลูกค้าชอบมากๆเด็กมาตั้งชื่อให้หน้าร้านประจำเลย ซึ่งวิวแนะนำให้ทานคู่กันกับ เมนูนมเมล่อนสีฟ้า ที่ชื่อว่า Cloudy Melony (คลาวดี้ เมโลนี) ที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งทุกเมนูเราใช้วัตถุดิบธรรมชาติ 100% ไม่ใส่สารกันเสีย ไม่ใส่สีผสมอาหาร ไม่แต่งกลิ่นด้วย ทุกเมนูที่วิวสร้างสรรค์มาสำคัญเลยคือต้องใช้วัตถุดิบพรีเมียมดีที่สุดที่หาได้มาทำ เช่น สตรอว์เบอร์รี่สด ครีมสด นำเข้าจากต่างประเทศ 100% นึกเสมอว่าถ้าเราทำกินเองเราก็อยากใช้ของดีๆทานของดีๆ เราก็อยากให้ลูกค้าทานแบบนั้นเหมือนกัน ตัวบรรจุภัณฑ์เองก็เหมือนกัน วิวตั้งใจใช้บรรจุภัณฑ์ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด คือเมื่อลูกค้าทานเสร็จแล้ว สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้แทบทุกชิ้น โดยสินค้าทุกชิ้นเป็นงานคราฟท์ คือผลิตด้วยคนทั้งหมด เพราะอยากให้เกิดความพิถีพิถันในรายละเอียดมากที่สุด ตลอดจนการบริการที่ยึดถือความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบต่อลูกค้า รวมถึงความใส่ใจในการบริการทั้งหน้าสาขาและทางออนไลน์ และที่สำคัญคือเป้าหมายที่อยากถ่ายทอดความสุขให้ลูกค้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นสินค้า จนกระทั่งได้ลองชิมแล้วก็มีความสุข และกลับมาซื้อซ้ำด้วยบริการที่ทำมาจากใจค่ะ”

คำถาม : 2 ปีที่เป็นจุดเปลี่ยนยิ่งใหญ่ของชีวิต ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วยังเจอปัญหามามากมายมาตลอด ให้บทเรียนอะไรบ้าง แล้วเป้าหมายต่อไปคืออะไร?

   “สำหรับวิว วิวมองว่าทุกการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคนเรามันคือประสบการณ์ ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย เป็นสิ่งที่ให้เราเรียนรู้การใช้ชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่มีตำราหรือใครมาสอนได้ สิ่งสำคัญคือถ้าวันนึงสิ่งที่เราเลือกจะทำมันให้ผลลัพธ์ไม่ดี ไม่เป็นดั่งใจเรา เราแค่ต้องพึงระลึกไว้ว่ามันคืออีกหนึ่งประสบการณ์ มันผ่านไปแล้ว จบไปแล้ว เราแก้ไขไม่ได้ แต่เราปรับปรุงได้ ไม่งั้นเราจะไม่กล้าก้าวขาเดินต่อ วันนี้เราอาจจะยังทำไม่ได้ แต่เราแค่ต้องอดทน แล้วพยายามต่อ อย่าหยุด อย่ากลัว แล้วก็อย่าขาดสติ สำคัญที่สุดคือ เจตนา ให้เราทำทุกอย่างด้วยเจตนาที่ดีทั้งกับตัวเองและผู้อื่น เวลาเจอปัญหา เจออะไรมาก็ตาม คนที่มีเจตนาที่ดี ผลลัพธ์มันจะดีเอง เป้าหมายต่อไปของฮาคูน่า มาทาช่า คือการขยายสาขาประจำให้มีมากขึ้น ลูกค้าจะได้เข้าถึงง่ายขึ้น ถ้าไปเปิดต่างจังหวัด หรือต่างประเทศได้ยิ่งดี แต่ที่สำคัญคืออยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะเป็นตัวกลางส่งต่อความสุขให้กับผู้คนผ่านอาหาร เป็นแบบอย่างที่จะเป็นผู้ประกอบการที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเป็นต้นแบบให้กับผู้คนที่เผชิญวิกฤติในชีวิตไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ให้อดทน ต่อสู้ และก้าวผ่านวิกฤตินั้นไปให้ได้อย่างมั่นคง และเติบโตค่ะ”

“คนส่วนใหญ่เมื่อรู้สึกล้มเหลว ท้อแท้ และสิ้นหวัง มักจะละทิ้งความกล้าไว้ข้างหลังอยู่เสมอ ขอให้คุณเปลี่ยนความผิดหวังนั้นให้กลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ แล้วคุณจะสามารถพลิกฟื้นโชคชะตาให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้”

ข้อมูลแบรนด์ HAKUNA MATACHA
Facebook : Hakuna Matacha
TikTok : hakuna.matacha
Instagram : hakuna.matacha
Twitter : HakunaMatacha
Line Official : @hakunamatacha (มี @)
Call Center : 095-975-2112 (10.00-21.00 น.)

Facebook : https://www.facebook.com/hakunamatacha Twitter : https://twitter.com/hakunamatacha?s=21 Instagram : https://instagram.com/hakuna.matacha?igshid=YmMyMTA2M2Y=
TikTok
: https://www.tiktok.com/@hakuna.matacha?_t=8WbhxCbwdk2&_r=1