สุราษฎร์ธานี’ ประกาศเคลื่อนการศึกษาเสมอภาค หนุนเด็กนอกระบบพัฒนาศักยภาพสู่อาชีพที่มีทางเลือกสร้างเครือข่ายโรงเรียนจัดการศึกษาตอบสนองความต้องการเชิงพื้นที่ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ “ระดมพลังความร่วมมือขับเคลื่อนอนาคตความเสมอภาคทางการศึกษาไทยอย่างยั่งยืน” 4 ภูมิภาค เพื่อระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา สู่การผลักดันนโยบายและวางทิศทางการดำเนินงานของ กสศ. ในปีงบประมาณ 2568 – 2570 ล่าสุดจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ที่เวทีภาคใต้ ณ โรงแรมแก้วสมุยรีสอร์ท อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะครั้งนี้ มีภาคีเครือข่ายนักขับเคลื่อนด้านการเรียนรู้จากภาครัฐ ท้องถิ่น ภาควิชาการ วิชาชีพ ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจเอกชน และภาคสื่อมวลชน จาก 14 จังหวัดเข้าร่วมกว่า 130 คน นับเป็นการระดมพลังครั้งสำคัญของการประกาศวาระความร่วมมือเพื่อนำเสนอโจทย์ปัญหาจากพื้นที่ สู่การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทำงานและโมเดลต้นแบบเพื่อผลักดันให้เกิดแผนกลยุทธ์ในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ทั้งในระดับพื้นที่ ระดับจังหวัด ระดับภูมิภาค ไปสู่ระดับประเทศ นันธวัช เจริญวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี นำเสนอบริบทภาพรวมของจังหวัดสุราษฎร์ธานีว่า เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย ทั้งยังเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่มีชื่อเสียง รวมถึงเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของพื้นที่ภาคใต้ ที่ผ่านมาจังหวัดมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านความเสมอภาคทางการศึกษาร่วมกับ กสศ. มาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามข้อมูลจากฐานข้อมูลสารสนเทศเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ iSEE กสศ. ระบุว่าปีการศึกษา 2565 สุราษฎร์ธานีมีนักเรียนยากจนจำนวน 8,457 คน และมีนักเรียนยากจนพิเศษจำนวนมากถึง 10,713 คน ซึ่งทั้งนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษมีแนวโน้มอย่างมากที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ที่ผ่านมาการทำงานกับเด็กกลุ่มนี้ ได้อาศัยอาศัยความร่วมมือจากภาคีหลายฝ่าย เพื่อดึงเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาและการฝึกอาชีพ รวมถึงออกแบบวิธีการดูแลช่วยเหลือให้เด็กกลุ่มนี้คงอยู่ในระบบการศึกษาได้จนจบการศึกษาภาคบังคับและการมีงานทำในอนาคต เป็นที่มาของการจัดตั้ง ‘สมัชชาการศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี’ ที่ทำงานร่วมกับ กสศ. บนฐานการทำงาน 4 ประการ คือ 1.การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา โดยค้นหาเด็กเยาวชนกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ และวางแผนการดูแลเป็นรายบุคคล 2.พัฒนาคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนทุกระดับและทุกสังกัด ให้สามารถจัดการศึกษาที่ได้มาตรฐานและเหมาะสมกับบริบทพื้นที่ 3.จัดการศึกษาที่มีทางเลือก บนฐานความแตกต่างหลากหลายสำหรับเด็กเยาวชนและประชากรทุกช่วงวัย และ 4.มุ่งไปสู่การทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เพื่อขยายโอกาสการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพและยั่งยืน ด้วยการส่งต่อข้อมูลและบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน “นโยบายเร่งด่วนคือพาเด็กที่หลุดจากระบบกลับเข้าสู่เส้นทางพัฒนาตนเอง ซึ่งเรามีหลายหน่วยงานมาทำงานร่วมกัน ทั้งการค้นหา แนะแนวทาง และออกแบบการศึกษาทางเลือกที่เหมาะสมกับบริบทชีวิตของผู้เรียนแต่ละคน โดย กศน. เป็นกำลังหลักที่สามารถพบตัวเด็กได้เกือบ 100% แล้ว แนวทางหลักที่นำมาส่งเสริมน้อง ๆ กลุ่มนี้คือเรื่องการฝึกอาชีพ ด้วยความร่วมมือของสถาบันฝีมือแรงงาน วิทยาลัยเทคนิค และมหาวิทยาลัยราชภัฏ ที่มีหลักสูตรระยะสั้น และเป็นการศึกษาที่มุ่งให้ความสำคัญกับการประกอบอาชีพได้จริง “นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ทุกโรงเรียนมีคุณภาพเท่าเทียม เพื่อลดปัญหาเด็กกระจุกตัวในเมืองใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดความแออัด และเป็นการลดทอนคุณภาพของโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล โดยสิ่งที่เดินหน้าไปแล้วคือการเชื่อมโยงเครือข่ายโรงเรียนในทุกอำเภอ เพื่อหารือกันถึงการจัดการศึกษาที่ครอบคลุมมาตรฐานเดียวกันได้ทั้งจังหวัด” รองผู้ว่า ฯ จังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวต่อไปว่า เป็นโอกาสดีและเป็นประโยชน์ยิ่ง ที่เครือข่ายด้านการศึกษาภาคใต้ได้มาร่วมกันเสนอความคิดเห็นในเวทีนี้ เพราะแม้ว่าจะเป็นพื้นที่ภาคใต้เหมือนกัน หากแต่ละจังหวัดเองก็มีรูปแบบปัญหา ข้อจำกัด และลักษณะเฉพาะของพื้นที่ที่หลากหลาย การได้มาพบปะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และถ่ายทอดนวัตกรรมระหว่างกัน จึงหมายถึงว่าแต่ละจังหวัดจะมี ‘ทางเลือก’ และ ‘ต้นแบบ’ การทำงานเพิ่มขึ้น ในการเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จในการจัดการศึกษาที่เสมอภาคสำหรับเด็กทุกคนในภูมิภาค และสะท้อนให้ กสศ. ได้เข้ามาสนับสนุนอย่างตรงจุด สมพงษ์ หลีเคราะห์ คณะหนุนเสริมทางวิชาการ ติดตามและถอดบทเรียนระบบทดลองการพัฒนาทักษะแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน กสศ. กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษามีผลต่อการหลุดจากระบบการศึกษาของเด็กโดยตรง ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดคือค่าเครื่องแบบ กระเป๋า รองเท้า โดยทุกปีการศึกษาผู้ปกครองต้องใช้เงินหลักพันต่อเด็กนักเรียนหนึ่งคน คำถามคือครอบครัวที่ดำรงชีพด้วยค่าแรงขั้นต่ำจะหาจากที่ไหนมาจ่าย นี่เป็นโจทย์ที่ต้องคุยกับโรงเรียนและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกร่วมกัน ในส่วนของรูปแบบการทำงานที่ดำเนินไปแล้ว และพร้อมขยายผลความสำเร็จต่อไปยังโรงเรียนในพื้นที่ต่าง ๆ ได้มีการนำนวัตกรรมการจัดการศึกษาที่ทันสมัยมาทดลองกับโรงเรียนในระบบ โดยร่วมกับโรงเรียนนำร่อง 20 แห่ง ทั้งรัฐและเอกชน ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา (Sandbox) จังหวัดสตูล ด้วย ‘นวัตกรรมโครงงานฐานวิจัย’ ที่เปลี่ยนบทบาทครูให้เป็นโค้ช ผ่านหลักสูตร Problem-based Learning: PBL วิธีการนี้เด็กจะได้เรียนผ่านประสบการณ์จริง ซึ่งผู้เรียนจะไม่ได้แค่องค์ความรู้ แต่เป็นการสร้างกระบวนการคิด ที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจในบทเรียนที่ลึกซึ้ง ทั้งนี้การนำการจัดการศึกษาในรูปแบบ Active Learning เข้ามาใช้ เชื่อว่าจะเป็นการช่วยลดความแตกต่างเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนในเมืองกับพื้นที่ห่างไกล และเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ต้นทุนจำนวนมาก สมพงษ์ หลีเคราะห์ คณะหนุนเสริมทางวิชาการ ติดตามและถอดบทเรียนระบบทดลองการพัฒนาทักษะแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน กสศ. “สำหรับเป้าหมายระยะสั้นใน 3-5 ปีข้างหน้า มีสองประการที่เราต้องไปให้ถึง คือหนึ่งเราต้องหาคำตอบของการออกแบบการศึกษาเชิงพื้นที่ว่า คนในบริบทที่แตกต่างเขาต้องการให้ลูกหลานเดินไปในเส้นทางแบบไหน เพราะหากยึดหลักสูตรแกนกลาง เราจะมีถนนเพียงเส้นเดียว แล้วการศึกษาจะไม่สามารถพาเด็กทุกคนไปสู่ความฝันของตัวเองได้ สองคือ ‘ครู’ หรือ ‘ผู้จัดการเรียนรู้’ จะต้องไม่ยึดโยงอยู่กับโรงเรียนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดึงพ่อแม่ผู้ปกครองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา เพื่อทำให้เป็นการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยมีบ้าน ชุมชน และโรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ได้ทั้งหมด หมายถึง 8,760 ชั่วโมงที่ผ่านไปในแต่ละปี ต้องเป็นชั่วโมงแห่งการเรียนรู้ ทั้งการเล่น การกิน หรือการนอน ที่เด็กสามารถเพิ่มพูนองค์ความรู้ได้ผ่านการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่ง ณ วันนี้เรายังให้ค่าเวลาการเรียนของเด็กแค่ปีละราว 1,000 ชั่วโมง ฉะนั้นการศึกษาต้องขยายขอบเขตออกไป และมีระบบการวัดประเมินคุณค่าการเรียนรู้ตลอด 24 ชั่วโมงของเด็กได้” ส่วนการทำงานกับเด็กนอกระบบการศึกษา สมพงษ์กล่าวว่าต้องตั้งอยู่บนแนวทางที่ว่าเมื่อค้นหาเด็กจนพบแล้ว เด็กต้องมีพื้นที่ปลอดภัยและได้รับโอกาสเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อนำชีวิตไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งการสร้างเครือข่ายคณะทำงานจากหลายพื้นที่ที่เกาะเกี่ยวกันอย่างเหนียวแน่นอาจเป็นคำตอบ เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีการเปลี่ยนผู้นำเชิงนโยบายไม่ว่าระดับท้องถิ่นหรือสถานศึกษาก็ตาม กลายเป็นว่างานที่เดินไปแล้วต้องชะงัก หรือหลายโครงการก็ต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง ดังนั้นถ้ามีเครือข่ายที่เข้มแข็งซึ่งเปิดโอกาสให้คนที่อยู่กับปัญหาและทำงานมาเป็นเวลานานสามารถต่อกันติดและทำงานได้เต็มที่ โอกาสที่งานจะเดินไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน และแสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงก็เป็นไปได้มากขึ้น