สมเด็จพระมหาธีราจารย์มอบโล่เกียรติคุณ "ดร.หลวงพ่อแดง" พระสงฆ์ต้นแบบแห่งการสาธารณสงเคราะห์

          เมื่อเร็วๆ นี้ ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯ ฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.และภาคีเครือข่าย ร่วมกันจัดมหกรรมสาธารณสงเคราะห์ พิธีถวาย มอบโล่เกียรติคุณ พระสงฆ์ต้นแบบแห่งการสาธารณสงเคราะห์ องค์กรสาธารณสงเคราะห์ต้นแบบ และผู้มีจิตอาสาที่ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนางานฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ของมหาเถรสมาคม ในโครงการพระสงฆ์สาธารณสงเคราะห์ เสริมสร้างสังคมสุขภาวะ และ โครงการขับเคลื่อนงานสาธารณสงเคราะห์ วิถีพุทธเพื่อเสริมสร้างสุขภาวะในสังคมไทย โดยสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประธานฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม เป็นประธานมอบโล่เกียรติคุณ พระสงฆ์ต้นแบบแห่งการสาธารณสงเคราะห์ องค์กรสาธารณสงเคราะห์ต้นแบบ และจิตอาสาร่วมขับเคลื่อนงานฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ในจำนวนนี้มี พระครูพิศิษฏ์ประชานาถ, ดร.หลวงพ่อแดง นันทิโย รองเจ้าคณะอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เจ้าอาวาสวัดอินทาราม รองประธานสมัชชาพระสงฆ์ผู้นำขับเคลื่อนหมู่บ้านศีล 5 หนกลาง, อนุกรรมการ ขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการพัฒนาประสิทธิภาพ การดำเนินงาน หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.) ส่วนกลาง และกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ จ.สมุทรสงคราม
         พร้อมกันนี้ดร.หลวงพ่อแดงได้ร่วมร่วมบุญกฐินสามัคคีซื้อที่ถวายวัดป่าศรีแสงธรรม 100,000 บาท สมทบโครงการซื้อที่ดินถวายวัดป่าศรีแสงธรรม 51 ไร่ ๆ ละ 1.2 แสนบาท ศูนย์การเรียนรู้วัดป่าศรีแสงธรรมได้ดำเนินการพัฒนาวัด พัฒนาคน พัฒนาชุมชน ตามหลัก “บวร” อีกด้วย
สัมภาษณ์หลวงพ่อแดง
         พระครูพิศิษฏ์ประชานาถ, ดร.หลวงพ่อแดง นันทิโย กล่าวว่า อาตมาบรรพชาอุปสมบทตั้งแต่ปี 2516 เป็นรักษาการเจ้าอาวาสเมื่อปี 2519 โดยประกาศว่า “ไม่สร้างเก่ง แต่จะสร้างโยมให้กินอิ่มนอนอุ่น ตราบใดที่โยมยังกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่นก็ไม่ฟังเทศน์ ตั้งแต่บัดนั้นก็ทำงานด้านพัฒนามาต่อเนื่อง โดยการทำงานสังคมสงเคราะห์ ศาสนสงเคราะห์ สมัยนั้น นำโดยสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้นชุติจะโร) วัดสามพระยา เป็นที่ให้ความสนใจ ซึ่งอาตมาได้รับเกียรติเป็นวิทยากรร่วม และทำทุกอย่างที่ขวางหน้าถ้าเป็นความดี ทำความดีไม่เคยเกรงใจใคร ทำงานมา 40 กว่าปีก็มองเห็นแล้วว่า ที่หลวงพ่อพูด “หากโยมจนลง จะมีใครใส่บาตรให้เราฉันต์” ซึ่งจริงทุกประการ ต่อมาอาตมาก็ดีใจที่สมเด็จฯท่าน มาเป็นประธานสาธารณสงเคราะห์ มหาเถรสมาคม และท่านเมตตาให้อาตมาเป็นอนุกรรมการ ขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการพัฒนาประสิทธิภาพ การดำเนินงาน หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.) ส่วนกลาง ทำให้รู้จักผู้คนมากมายมาเป็นเครือข่ายในการทำงาน โดยดำเนินการมาแล้วหลายโครงการ เช่น 1.ธนาคารวัวพัฒนาภาคอีสานที่ อำเภอดอนตูม จังหวัดสุรินทร์ ด้วยการแจกวัวไปแล้ว 1,000 ตัว ครอบครัวละ 2 ตัว แต่ “ห้ามฆ่าห้ามขาย ห้ามกิน และต้องมีศีล 5 พารวย” และจากการมีธนาคารวัว ก็ต่อยอดพัฒนาเป็นโคกหนองนา และเป็นโรงเรียนปลดหนี้ชาวนา บนเนื้อที่ 8 ไร่เศษ เพื่อแก้จนให้ชาวนา เนื่องจากที่ผ่านมาชาวนา ทำนาปี จบขายข้าวหมด เหลือหนี้กับซัง และ ขยันทำนาปรังก็เหลือซังกับหนี้ จากการดำเนินงานที่ผ่านมา สามารถผลิตมูลวัวทำปุ๋ยให้จังหวัดสุรินทร์ปีละ 1 พันตัน อีกทั้งยังเป็นสินทรัพย์ให้ชาวนาเป็นทุนในการประกอบอาชีพ อย่างไรก็ตาม อนาคตจะมอบให้ได้ 10,000 ตัว, 2.ธนาคารน้ำใต้ดิน เกิดขึ้นเพราะภาคอีสาน เป็นดินเหนียว น้ำท่วมจะท่วมมาก ถ้าน้ำแล้งก็จะแตกระแหง อาตมาจึงศึกษาและทำธนาคารน้ำใต้ดิน 60 บ่อ ในโรงเรียนปลดหนี้ ทำให้สามารถทำนาได้ปีละ 3 ครั้ง จึงขยายผลปีนี้จะทำ 200,000 บ่อ ทำให้อีสานไม่แล้ง และต่อยอดให้ชาวนามีที่ดิน 10 ไร่ ปลูกข้าว 2 ไร่ที่เหลือ ปลูกพืชยืนต้น ซึ่งอาตมาจะมอบพันธ์มะพร้าว 10,000 ต้น, 3.พัฒนาระบบโซลาเซลล์ให้โรงเรียนประถมศึกษา แห่งละ 165,000 สามารถประหยัดค่าไฟประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ มองอนาคตถ้าโรงเรียนทั่วประเทศไทย ใช้ระบบโซลาเซล์ 1 ปี จะประหยัดเงินค่าไฟมาพัฒนาการศึกษามหาศาล และจะได้รับพลังงานสะอาด อนาคตจะทำโรงพยาบาลโซลาเซลล์ 77 แห่งทั่วประเทศ และ 4.นอกจากนี้ในอนาคตจะสร้างศูนย์ไกล่เกลี่ยที่วัดอินทาราม เพื่อเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายด้วย
          ดร.หลวงพ่อแดง นันทิโย กล่าวว่า การทำงานสาธารณสงเคราะห์คือ 1.สงเคราะห์ 2.เกื้อกูล 3.พัฒนา และ4.บูรณาการ โดยมีหลัก ท. 5 คือ มีทุน, ลงมือทำ, ทำเป็นทีม, อดทน และใช้ไอทีในการประชาสัมพันธ์ ควบคู่กับการบูรณาการตามหลัก “บวร” บ้าน เข้มแข็ง, วัด เข้มขลัง, ราชการ เข้มข้น เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน โรงเรียนสนับสนุน เป็นหนึ่งเดียวกันมาจับมือกัน ประเทศไทยจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ซึ่งจะมองไปข้างหน้าจะก้าวไปด้วยกัน ภายใต้แนวคิด “พระสงฆ์ไม่ทิ้งประชาชน” "ทำดีไม่ต้องเกรงใจใคร"