จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้นำของมหาวิทยาลัยไทยในการจัดอันดับโลกปี 2026 มหาวิทยาลัยไทยรวม 21 แห่ง สามารถติดอันดับโลก (THE WUR 2026) ถึงแม้จะเป็นสัญญาณบวก แต่ยังมีความท้าทายสำคัญในด้าน งานวิจัย คุณภาพการเรียนการสอน และความเป็นนานาชาติ การศึกษาของไทยกำลังส่งสัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก Times Higher Education World University Rankings 2026 (THE WUR 2026) ได้ประกาศรายชื่อมหาวิทยาลัยจากทั่วโลกกว่า 2,000 แห่ง พบว่า มีมหาวิทยาลัยไทยถึง 21 แห่ง ที่สามารถก้าวเข้าสู่รายชื่อระดับโลกได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของวงการอุดมศึกษาไทยบนเวทีสากล โดยการจัดอันดับนี้มีมหาวิทยาลัยจาก 115 ประเทศ กว่า 2,191 แห่งเข้าร่วม และน่าจับตาที่สุดคือ 21 มหาวิทยาลัยไทยสามารถติดอันดับโลกได้สำเร็จ ผลการจัดอันดับใช้ 5 ตัวชี้วัดสำคัญ ได้แก่ การเรียนการสอน (Teaching) 29.5% สิ่งแวดล้อมเอื้อต่อการวิจัย (Research Environment) 29% คุณภาพการวิจัย (Research Quality) 30% ความเป็นนานาชาติ (International Outlook) 7.5% การส่งเสริมอุตสาหกรรม (Industry) 4% ในปีนี้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังคงรักษาตำแหน่ง “อันดับ 1 ของประเทศไทย” และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่จุฬาฯ ก้าวขึ้นจากกลุ่ม Top 600 สู่ Top 500 ของโลก ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุด เท่าที่จุฬาฯ เคยทำได้ในผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกโดย THE WUR 2026 ตามมาด้วย มหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วง 601–800 และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) ในกลุ่ม 801–1,000 ส่วนมหาวิทยาลัยชั้นนำในภูมิภาค เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ก็สามารถติดในกลุ่ม 1,001–1,200 ได้เช่นกัน ขณะที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี อยู่ในกลุ่ม 1,201–1,500 และ 1,501+ สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาต่อเนื่องของสถาบันอุดมศึกษาของไทย สำหรับมหาวิทยาลัยไทยที่ได้รับการจัดอันดับ THE WUR 2026 จำนวน 21 มหาวิทยาลัยดังนี้1) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับที่ 501–600)2) มหาวิทยาลัยมหิดล (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับที่ 601–800)3) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับที่ 801–1,000)4) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับที่ 1,001–1,200)5) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับที่ 1,001–1,200)6) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับที่ 1,201–1,500)7) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับที่ 1,201–1,500)8) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับที่ 1,201–1,500)9) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับที่ 1,201–1,500)10) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับที่ 1,201–1,500)11) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับที่ 1,201–1,500)12) มหาวิทยาลัยบูรพา (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับ 1,501+)13) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับ 1,501+)14) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับ 1,501+)15) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับ 1,501+)16) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับ 1,501+)17) มหาวิทยาลัยนเรศวร (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับ 1,501+)18) มหาวิทยาลัยศิลปากร (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับ 1,501+)19) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับ 1,501+)20) มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับ 1,501+)21) มหาวิทยาลัยพะเยา (ติดอันดับโลกในกลุ่มลำดับ 1,501+) การที่มหาวิทยาลัยไทยจำนวนมากสามารถติดอันดับโลกในปีนี้นับเป็น “สัญญาณบวก” ที่สะท้อนถึงการปรับตัวของสถาบันการศึกษาไทยในหลายมิติ ทั้งในด้านการพัฒนาหลักสูตร การยกระดับงานวิจัย และการเปิดรับความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็ยังเป็น “สัญญาณเตือน” ให้เห็นว่า ระบบอุดมศึกษาไทยจำเป็นต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแค่ “ติดอันดับ” แต่ต้อง “ยืนระยะ” และสร้างความยั่งยืนในระดับโลกได้จริง ปัจจุบันการแข่งขันของมหาวิทยาลัยทั่วโลกไม่ได้จำกัดอยู่เพียงด้านวิชาการเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ศักยภาพของงานวิจัยเชิงคุณภาพ ที่สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้จริง ความสามารถในการสร้าง เครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติ รวมถึงการส่งเสริมความเป็นสากลทั้งในด้านหลักสูตร บุคลากร และนักศึกษา ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสถาบันการศึกษาไทยในระยะยาว