ไขความลับ “ยูเรีย” ใช้ยังไงให้ตอบโจทย์คนผิวแห้ง

       100% ของประชากรชาวไทย อายุ 45 ปีขึ้นไปมีอาการผิวแห้ง มีหลายปัจจัยที่ทำให้ผิวของเราแห้ง ขาดความชุ่มชื้น อาทิ อายุที่เพิ่มมากขึ้น สภาพอากาศและมลภาวะ โรคผิวหนังหรือโรคประจำตัวบางชนิด การใช้ยาบางชนิด และพฤติกรรม เช่น การอาบน้ำอุ่น การนอนในห้องแอร์ ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยให้ผิวแห้ง สูญเสียความชุ่มชื้นทั้งสิ้น 

       หนึ่งในสารให้ความชุ่มชื้นที่เรารู้จักและใช้อย่างกว้างขวางคือ “ยูเรีย” โดยยูเรียเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของ natural moisturizing factor (NMF) ซึ่งจำเป็นสำหรับให้ความชุ่มชื้นที่บริเวณผิวหนัง กักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้แก่ผิวหนัง หากผิวมีปริมาณยูเรียลดลงจะทำให้เกิดการสูญเสียน้ำ สูญเสียความชุ่มชื้นที่ผิวหนังได้มากขึ้น ทำให้ผิวแห้ง ความยืดหยุ่นลดลง และผิวไม่แข็งแรง

       คุณสมบัติหลักของยูเรียคือเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ ทำให้ผิวชุ่มชื้น (emollients) เสริมปราการให้ผิวแข็งแรงทำให้เคราตินอ่อนนุ่มและหลุดลอก (Keratolytic) ช่วยลดอาการคัน (antipruritic agent) นอกจากนี้ยูเรียยังสามารถเพิ่มการซึมผ่านบริเวณผิวหนัง (skin penetration) ได้ด้วย ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของยูเรีย มีหลากหลายสูตรและความเข้มข้นให้เลือกใช้ ซึ่งการออกฤทธิ์ของยูเรีย จะแตกต่างกันตามปริมาณความเข้มข้นของยูเรียในแต่ละสูตรตำรับ

       - ยูเรียความเข้มข้นต่ำ (<10%) เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ ออกฤทธิ์เป็นเครื่องสำอาง บำรุงผิว เพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว

       - ยูเรียความเข้มข้นปานกลาง (10-30%) ออกฤทธิ์ให้การรักษา ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน รักษาผิวแห้ง แตก เป็นขุย เหมาะสำหรับผิวแห้งและภาวะผิวหนาตัว (hyperkeratotic skin) เช่น โรคผิวหนังเกล็ดปลา ศอกหรือเข่าด้าน ส้นเท้าแตก ใช้บำรุงผิวในผู้ป่วยสะเก็ดเงิน ผิวแห้งมากในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคไตหรือฟอกไต ผิวหนังไก่หรือขนคุด รวมทั้งสามารถใช้เพิ่มการซึมผ่านของยาหรือครีมบำรุงอื่นๆ ได้ด้วย

       - ยูเรียความเข้มข้นสูง (≥30%) ให้ฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวสูง ใช้กรณีผิวหนังหนาตัวขึ้นผิดปกติที่เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน ตาปลา หนังหนาด้าน และเล็บผิดปกติ

       จะเห็นได้ว่าสามารถนำยูเรียมาใช้กับอาการของโรคผิวหนังได้หลากหลาย แต่อย่างไรก็ตามควรจะพิจารณาลักษณะของปัญหาผิวก่อนว่าเราต้องการให้ยูเรียมาช่วยรักษาในเรื่องใด เพราะรูปแบบและความเข้มข้นที่ต่างกันของยูเรีย ส่งผลต่อการออกฤทธิ์ที่ต่างกันด้วย ดังนั้นก่อนการเลือกใช้ยูเรียอย่าลืมพิจารณาปัญหาผิวของเราก่อน และหากต้องการใช้ที่ความเข้มข้นสูง อย่าลืมปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ด้วยนะคะ เพื่อให้การเลือกใช้ยูเรียรวมทั้งครีมบำรุงผิวอื่นๆ ได้ประสิทธิภาพสูงสุด และตอบโจทย์ผิวของเรามากที่สุด

เรียบเรียงโดย: ภญ.กนกพร ผมงาม และ ภญ.ถาวรีย์ รากะสง
เอกสารอ้างอิง
1. Rojvutthikun, I., & Nitayavardhana, S.. (2020). Descriptive Cross-Sectional Survey of Xerosis in General Middle-Aged and Elderly at Benchakiti Park hospital. Proceeding in RSU International Research Conference, May 1, 2020. Pathum Thani, Thailand.
2. Augustin, Matthias et al. “Diagnosis and treatment of xerosis cutis - a position paper.” Journal der Deutschen Dermatologischen Gesellschaft = Journal of the German Society of Dermatology : JDDG vol. 17 Suppl 7 (2019): 3-33. doi:10.1111/ddg.13906
3. Celleno, Leonardo. “Topical urea in skincare: A review.” Dermatologic therapy vol. 31,6 (2018): e12690. doi:10.1111/dth.12690
4. Piquero-Casals, Jaime et al. “Urea in Dermatology: A Review of its Emollient, Moisturizing, Keratolytic, Skin Barrier Enhancing and Antimicrobial Properties.” Dermatology and therapy vol. 11,6 (2021): 1905-1915. doi:10.1007/s13555-021-00611-y
5. David, Pascaline et al. “A Comprehensive Overview of Skin Complications in Diabetes and Their Prevention.” Cureus vol. 15,5 e38961. 13 May. 2023, doi:10.7759/cureus.38961
6. Treesirichod, Arucha et al. “A comparison of the efficacy and safety profiles of 10% salicylic acid and 10% urea creams in treating acanthosis nigricans in adolescents: a randomized double-blinded study.” Archives of dermatological research vol. 315,7 (2023): 2091-2097.
7. Treesirichod, Arucha et al. “The efficacy and safety of 20% urea cream and 10% urea cream in the treatment of acanthosis nigricans in adolescents, a randomized comparative double-blind study.” Journal of cosmetic dermatology vol. 21,7 (2022): 2859-2864.
8. Castello, M, and M Milani. “Efficacy of topical hydrating and emollient lotion containing 10% urea ISDIN® plus dexpanthenol (Ureadin Rx 10) in the treatment of skin xerosis and pruritus in hemodialyzed patients: an open prospective pilot trial.” Giornale italiano di dermatologia e venereologia : organo ufficiale, Societa italiana di dermatologia e sifilografia vol. 146,5 (2011): 321-5.
9. Farida Yahya, Yulia & Roiana, Nina & Dermatology, Rosi & Venereology, & Hoesin, Department & Indonesia, Palembang. (2017). Efficacy of20% urea cream on uremic pruritus with uremic xerosis in chronic renal failure patients undergoing hemodialysis. 10.13140/RG.2.2.15119.79526.