เตือนผู้ประกอบการ เตรียมพร้อมรับมือวิกฤตค่าไฟแพง Solar rooftop อาจเป็นทางรอด ไม่ใช่ทางเลือก

       จากข้อมูลสถิติการปรับอัตราค่าไฟผันแปร (ค่า FT) ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีการปรับตัวสูงขึ้นมากจนน่าตกใจ จากปลายปี 2564 ค่า FT อยู่ที่ -15.32 สตางค์/หน่วย เพียงข้ามปีกลับก้าวกระโดดขึ้นมาเป็น 1.39 สตางค์/หน่วย และปรับขึ้นอีกต่อเนื่องจนถึง 93.43 สตางค์/หน่วยในช่วงปลายปี 2565 (อ้างอิง : https://www.mea.or.th/content/detail/2985/2987/474) และด้วยต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ประกอบกับข้อจำกัดด้านสถานะทางการเงินและสภาพคล่องของ กฟผ. จึงส่งผลกระทบต่อเนื่องให้ในต้นปี 2566 นี้ มีแนวโน้มว่าค่า FT จะปรับขึ้นสูงสุดถึง 224.98 สตางค์/หน่วย ดันค่าไฟแตะ 6.03 บาท/หน่วย (อ้างอิง : https://www.erc.or.th/th/listen-to-opinions/482) ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญหน้ากับต้นทุนค่าไฟที่สูงขึ้นมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

       หลายองค์กรหันมาให้ความสำคัญและตระหนักถึงการประหยัดพลังงานมากขึ้น เนื่องจากเป็นวิธีที่ช่วยลดต้นทุนของธุรกิจได้เป็นอย่างดี ซึ่งวิธีการประหยัดพลังงาน ณ ปัจจุบัน ก็สามารถทำได้หลากหลายวิธี อาทิ

  • การเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักร ให้มีความรวดเร็วในการผลิต ซึ่งช่วยประหยัดเวลา และทำให้ได้ผลผลิตออกมาในปริมาณที่สูงขึ้น
  • การติดตั้งฉนวนความร้อนให้หลังคาอาคาร เพื่อลดอุณหภูมิในอาคารให้เย็นลง และช่วยประหยัดพลังงานได้
  • การใช้ไฟ LED และเปิดปิดไฟด้วยระบบเซนเซอร์ซึ่งคอยตรวจจับความเคลื่อนไหวพร้อมปิดไฟอัตโนมัติหากบริเวณนั้นไม่มีพนักงานอยู่

       อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยประหยัดพลังงานและลดต้นทุนของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือการติดตั้ง Solar Rooftop ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานไฟฟ้าและทำให้ธุรกิจมีกำไรเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ยังเปรียบเสมือนการกางร่มให้อาคาร ทำให้อุณหภูมิภายในอาคารต่ำลง ส่งผลให้ภาพรวมการใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคารน้อยลงไปด้วย

       การติดตั้ง Solar Rooftop ให้กับโรงงานหรือสถานประกอบการขนาดใหญ่ จำเป็นที่จะต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง ทั้งในเรื่องของการออกแบบระบบให้เหมาะสม เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าได้สูงสุด และที่สำคัญคือต้องมีความปลอดภัยตามมาตรฐานที่การไฟฟ้ากำหนด ตลอดจนจะต้องมีการขออนุญาตหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องด้วย ซึ่งเคล็ดลับในการเลือกพิจารณาบริษัทติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปที่มีมาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือ มีดังนี้

  1. บริษัทต้องมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เรื่องการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ ซึ่งผลงานต่างๆจะสะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของบริษัทนั้น โดยเฉพาะผลงานที่เป็นโครงการใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นงานอุตสาหกรรม หรืองานสถานประกอบการ เนื่องจากงานขนาดใหญ่เหล่านี้จะมีความซับซ้อน และจำเป็นที่จะต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการติดตั้งสูง ดังนั้นผู้ประกอบการควรเลือกบริษัทผู้ให้บริการอย่างถี่ถ้วน
  2. เลือกบริษัทที่ใช้อุปกรณ์มาตรฐานระดับโลกเท่านั้น และได้รับการรับรองจากการไฟฟ้า เพื่อให้มั่นใจในเรื่องของคุณภาพรวมถึงการรับประกันสินค้า
  3. ราคาต้องสมเหตุสมผล ในส่วนนี้อาจจะต้องใช้วิธีการเทียบราคาหลายๆบริษัท โดยเปรียบเทียบในสเป็คที่เท่าๆ กัน หรือใกล้เคียงกัน เพื่อให้ได้ระบบที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม คุ้มค่าแก่การลงทุน
  4. บริการหลังการขาย ไม่ว่าจะเป็นบริการบำรุงรักษา หรือตรวจเช็คระบบต่างๆ หลังการติดตั้ง ควรมีการตกลงกันให้ชัดเจน
  5. บริษัทที่ให้บริการครอบคลุมไปจนถึงการขออนุญาตหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ส่วนนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากติดตั้งแล้วขออนุญาตไม่ถูกต้องอาจจะมีส่วนที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย โดยต้องขออนุญาต 3 หน่วยงาน คือการไฟฟ้านครหลวงหรือภูมิภาค กกพ. และหน่วยราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

       จะเห็นได้ว่าการที่ผู้ประกอบการจะตัดสินใจเลือกบริษัทติดตั้ง Solar Rooftop นั้น ควรจะต้องอาศัยข้อมูลต่างๆประกอบการตัดสินใจอย่างถี่ถ้วน เพื่อตอกย้ำความมั่นใจว่าบริษัทที่คุณเลือกมีความน่าเชื่อถือ มีความเชี่ยวชาญในระบบโซลาร์เซลล์อย่างแท้จริง และเงินทุกบาททุกสตางค์ที่คุณลงทุนไป คุ้มค่ากับสิ่งที่จะได้รับกลับมา หนึ่งในบริษัทที่เป็นผู้นำทางด้าน Solar rooftop ของประเทศไทยคือ บริษัทโพนิกซ์ PONIX ซึ่งเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ในการติดตั้ง Solar Rooftop มากมาย และให้บริการแบบ One stop service ของระบบโซลาร์เซลล์ แบบครบวงจรสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะการติดตั้งงานสถานประกอบการหรือโครงการขนาดใหญ่ ที่มีความซับซ้อนของการติดตั้ง พร้อมทั้งมีการนำเสนอโซลูชั่นให้กับลูกค้าอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบ On Grid, Hybrid และ Off Grid เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในราคาที่จับต้องได้ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในบริษัทได้รับการขึ้นบัญชี Vendor List จากการไฟฟ้า จึงมั่นใจได้ในเรื่องของมาตรฐานการติดตั้ง ความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยของระบบได้

       สุดท้ายแล้วไม่ว่าสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงานจะเป็นเช่นไร ผู้ประกอบการที่อยู่รอดคือผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในการรับมือและปรับตัวได้อย่างทันท่วงที การหันมาให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนพลังงานโดยหันมาใช้พลังงานทางเลือกอย่างโซลาร์เซลล์ อาจเป็นคำตอบของการอยู่รอดในวิกฤตครั้งนี้

Facebook : https://www.facebook.com/Ponixcompany